ผมไม่ใช่นักวิ่ง แค่ได้ลองวิ่งแล้วรู้สึกว่ามันเหนื๊อยเหนื่อย รู้เลยว่าหลงตัวเองมาตลอด หลงคิดว่าการปั่นจักรยานเป็นประจำนั้น ทำให้เราแข็งแรงมากพอ (ผมปั่นจักรยานจากบ้านไปออฟฟิศ ระยะทาง 8 km ไปกลับก็ 16 km เป็นระยะสั้นๆ ใช้เวลาประมาณ 25 นาที/เที่ยว) เลยอยากวิ่งให้แข็งแรงขึ้นจนรู้สึกไม่เหนื่อยจนทรมานเหมือนตอนวิ่งครั้งแรก (ยังจำความรู้สึกได้อยู่เลย เริ่มวิ่งแค่ระยะ 50 m ด้วยความเร็วที่โดนคนเดินแซง แต่หัวใจเต้นแรงจนรู้สึกเจ็บหน้าอก หายใจไม่ค่อยถนัด ระหว่างวิ่งไม่คิดจะพูดเลยเพราะเหนื่อยมากกกก)
ผมได้มารู้ว่ามีคนวิ่งเท้าเปล่า จากพี่ที่รู้จักกัน เป็นการเปิดหูเปิดตาผมเหมือนกัน มันทำให้ผมเบี่ยงเบนมาทางการวิ่งแบบธรรมชาติซึ่งจะลงหน้าเท้า และคอยระวังเรื่องการลงด้วยส้นเท้า
การวิ่งเท้าเปล่ามันดึงดูดความสนใจผมได้เนื่องจาก
- เป็นท่าวิ่งที่ธรรมชาติจริงๆ สัญชาตญานจะบอกให้เราลงหน้าเท้าเมื่อเราวิ่งเท้าเปล่า เพราะถ้าลงส้นมันรู้สึกไม่มั่นคง น่าจะล้มง่าย แล้วมันรู้สึกกระแทกมากกว่ากันเยอะ
- มันทำให้การวิ่งไม่มีสิ่งปรุงแต่งต่างๆ ที่มากับรองเท้า เช่น แฟชั่น เทคโนโลยี ฐานะทางสังคม
บางคนมองว่า เทคโนโลยีในรองเท้าช่วยให้เราวิ่งวิ่งได้สบายกว่าเดิม ซึ่งก็น่าจะทำให้วิ่งได้เร็วขึ้นและไกลขึ้น แต่สิ่งที่ผมต้องการจากการวิ่ง เขียนไว้ที่ย่อหน้าแรกแล้ว ซึ่งมันไม่ใช่การวิ่งได้เร็วหรือวิ่งได้ไกล เป้าหมายผมเลยไม่ต้องพึ่งเทคโนโลยีในรองเท้า
เมื่อมีโอกาส ผมก็เลยลองวิ่งเท้าเปล่าแบบไม่รู้อะไรเลย ลองวิ่งบนสนามหญ้าในสวนลุมฯ แล้วรู้สึกดีมาก ทุกๆ ก้าว เราจะได้เหยียบหญ้านุ่มๆ บางส่วนมีน้ำขังในกอหญ้าก็วิ่งลุยน้ำได้เลย (ถ้าใส่รองเท้าเราคงไม่วิ่งลุยน้ำเพราะขี้เกียจมาซักทีหลัง) เท้าที่จุ่มลงน้ำตื้นๆ มีหญ้ารองข้างใต้อีกที มันรู้สึกดีมากครับ เย็น นุ่ม สดชื่น วิ่งเหยียบกิ่งไม้บ้าง ก้อนหินบ้าง เราก็จะรู้สึกเคืองๆ หรือสะดุดนิดหน่อย แต่ก็ยังไปต่อได้ จนกระทั่งวิ่งไปเหยียบอะไรสักอย่างแล้วรู้สึก "เจ็บ" เลยหยุดวิ่ง นั่งลงหงายฝ่าเท้าดู ก็เห็นเลือดไหลซิบๆ ก็เลยรู้ตัวว่าเท้าเราบางเกินไป เนื่องจากเรามีสัมผัสนุ่มๆ ของพื้นรองเท้ามารองรับอยู่ตลอด เจออะไรนิดหน่อย ก็โดนทิ่มเลือดไหลละ
เข็ดจากการลองวิ่งเท้าเปล่า ผมก็เริ่มมาสนใจรองเท้าที่ทำให้เราวิ่งได้ใกล้เคียงเท้าเปล่า ที่คนรู้จักเยอะหน่อยก็จะเป็น Vibram FiveFingers เป็นรองเท้าที่เหมือนถุงเท้า 5 นิ้ว แต่ทำจากยางบางๆ แค่ห่อหุ้มผิวหนังเพิ่มขึ้นอีกชั้นแค่นั้น ไม่มีส่วนรับแรงกระแทกอย่างรองเท้าวิ่งทั่วไป
|
รองเท้า Vibram FiveFingers
ภาพจาก pantip |
ผมได้เปิดหูเปิดตาอีกครั้ง จากพี่ที่รู้จักกัน (คนเดิม) เพราะเขาใส่รองเท้าวิ่งที่ผมไม่เคยเห็นใครใส่วิ่งมาก่อน ลักษณะเหมือนรองเท้าของพวกนักรบสมัยกรีก-โรมันที่เคยเห็นในหนัง คือจะเป็นแค่พื้นรองเท้าแล้วก็เป็นเส้นๆ ขึ้นมาพันเท้าขึ้นมาจนถึงหน้าแข้ง ไม่มีอะไรห่อหุ้มมากนัก ได้มารู้อีกทีว่า ชื่อมันคือ Huaraches เป็นรองเท้าที่ชนเผ่านึงเขาใช้กัน เพราะมันทำได้เอง จากวัสดุเหลือใช้ เช่น ยางรถยนต์
|
รองเท้า Huaraches
ภาพจาก tumblr |
กลับมาที่รองเท้าวิ่งคู่นั้น ผมได้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า พี่เขาได้มาจากคนที่รู้จักกัน ซึ่งพี่คนนั้นเขาทำใช้เอง ผมเริ่มเห็นความเป็นไปได้ที่จะทำรองเท้านี้ใช้เอง เลยเริ่มหาข้อมูล ก็มาเจอว่ามีคนทำขายอยู่แล้ว และก็แพร่หลายอยู่พอสมควร ถ้าอยากหามาใส่วิ่งก็สั่งซื้อเอาได้ เพราะทำเองเริ่มรู้สึกว่ามันวุ่นวายเกิน วัสดุที่ใช้ก็ไม่รู้จัก ไม่รู้จะซื้อที่ไหนยังไง กลัวทำมาแล้วใช้ไม่ได้ จะกลายเป็นเพิ่มขยะให้โลกนี้ซะเปล่าๆ
|
รองเท้า Huaraches แบบสำเร็จรูป
ภาพจาก pantip |
วันหนึ่ง ผมมีโอกาสได้ขอยืมพี่เขาใส่รองเท้าคู่นั้นวิ่ง ความรู้สึกแรกคือมันดูแปลก เหมือนแต่ง cosplay มากกว่าจะไปวิ่ง การพันผูกเชือกไม่ยากมาก แต่วิ่งครั้งแรก แล้วมีหลุด ก็ต้องแวะผูกใหม่ แต่จุดที่ประทับใจคือ ความรู้สึกมันใกล้กับการวิ่งเท้าเปล่ามากกว่ารองเท้าทั่วไป คือ เท้าด้านบนจะเปลือย รับลมได้เต็มที่ การวิ่งไปเจอพื้นที่ไม่เรียบ แม้จะเป็นพื้นนูนเล็กๆ เราก็จะรู้สึกได้ การลงน้ำหนักถ้าเราเผลอลงส้น แรงมันสะเทือนขึ้นมาจนรู้สึกได้ เราก็จะปรับก้าวถัดไปให้ลงหน้าเท้าได้ทันที
พอได้ลองแล้วผมเกิดอาการติดใจ เริ่มจริงจังกับการหารองเท้าคู่ใหม่ การใช้เงินแก้ปัญหา คือหาซื้อเอา มันก็สะดวกดี เร็วกว่า ใช้ได้ชัวร์ แต่ผมชอบการทำใช้เองมากกว่า เพราะมันต้องใช้ความคิดเยอะกว่า ได้ลองทำในสิ่งที่เราไม่ถนัด และที่สำคัญคือ ได้ความภูมิใจจากการเป็นผู้สร้างสรรค์
สรุปว่าผมทำรองเท้าวิ่งใช้เอง 2 คู่ ไว้ที่บ้าน 1 คู่ ไว้ที่ออฟฟิศ 1 คู่ จะได้ไม่ต้องวางแผน ว่าจะวิ่งวันไหน วิ่งที่ไหน ถ้ามีโอกาสวิ่ง จะแถวบ้านหรือแถวออฟฟิศ ก็หยิบมาร้อยเชือกออกวิ่งได้เลย รองเท้า 2 คู่นี้ทำให้ผมสนุกกับการวิ่งมากกว่าเดิม เพราะมันได้ความภูมิใจทุกครั้งที่เห็น ทุกครั้งที่สวม ร้อยเชือก ทุกครั้งที่ออกก้าววิ่ง ผมอยากออกไปวิ่งบ่อยกว่าเดิม และผมก็วิ่งได้เร็วขึ้นทีละนิดด้วย (ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับรองเท้าหรือไม่) ถ้าใครอยากลองทำตามบ้าง รอติดตามตอนต่อไปครับ